Tags : อุตสาหกรรม, ข่าวอุตสาหกรรม, สื่ออุตสาหกรรม, โรงงาน, เครื่องจักรกล, การผลิต, พลังงาน, โลจิสติกส์, Industry, Industrial, Industrial News, Industrial Media, Factory, Machinery, Machine, Manufacturing, Energy, Logistics

เน็กเซ็นไทร์ (Nexen Tire) ผู้ผลิตยางรถยนต์ชั้นนำระดับโลก ได้เริ่มต้นการก่อสร้างศูนย์เทคโนโลยียางรถยนต์แห่งใหม่ในเมืองริชฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยเงินลงทุน 5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 160 ล้านาบท โดยศูนย์แห่งนี้เป็นอาคารขนาด 3,159 ตารางเมตร (หรือ 34,000 ตารางฟุต) ประกอบด้วย สำนักงาน ห้องแล็บ เครื่องทดสอบ และคลังสินค้า และยังถือเป็นอาคารแห่งแรกในย่านการพัฒนาใหม่อย่าง Richfield Crossroads Development District อีกด้วย

การก่อสร้างศูนย์เทคโนโลยีแห่งใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเน็กเซ็นไทร์ที่มีต่อตลาดอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ โดยจะทำหน้าที่จัดหานวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการผลิตยางรถยนต์ที่ล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับตลาดชิ้นส่วนเพื่อนำไปใช้ประกอบยานยนต์ (Original Equipment) และตลาดอะไหล่ทดแทน (Replacement)

สำหรับเน็กเซ็น ไทร์ ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยางรถยนต์ที่มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจรวดเร็วที่สุดในโลก โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2485 และมีสำนักงานใหญ่ในเมืองยางซัน จังหวัดคย็องซังใต้ และในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนากระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในเกาหลีใต้ สหรัฐฯ จีน และเยอรมนี ซึ่งดำเนินงานด้านการวิจัยและพัฒนาที่หลากหลายเพื่อรับประกันคุณภาพสูงสุดของผลิตยางรถยนต์เน็กเซ็นไทร์อีกด้วย

เน็กเซ็น ไทร์ มีโรงงานผลิต 3 แห่ง โดยอยู่ในเกาหลีใต้ 2 แห่ง ได้แก่ ยางซัน และ ชางเกียง โดยโรงงานที่ชางเกียงของเน็กเซ็น ไทร์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่ก้าวหน้าและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยปริมาณการผลิต 12 ล้านเส้นต่อปี และโรงงานในเมืองชิงเต่า ประเทศจีน อีก 1 แห่ง ส่วนโรงงานแห่งใหม่ในเมืองซาเทค สาธารณรัฐเช็ก อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีกำหนดจะเปิดดำเนินงานในปีนี้

ทั้งนี้ เน็กเซ็นไทร์ผลิตยางรถยนต์ 42 ล้านเส้นต่อปี สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) รถบรรทุกขนาดเล็ก-กลาง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการออกแบบที่เป็นเลิศ มีคุณภาพ และเป็นหนึ่งอย่างเหนือชั้น เน็กเซ็นไทร์ผลิตยาง OE ป้อนผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำระดับโลกกว่า 20 ราย ทั้งในอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และยุโรป

โดยบริษัทฯ มีแผนการเติบโตเชิงรุกเพื่อก้าวจากผู้ผลิตอันดับ 18 ของโลกในปัจจุบัน ขึ้นไปติดท็อป 10 ของโลกภายในปี 2568 ด้วยการร่วมมือกับดีลเลอร์ 491 ราย ใน 141 ประเทศทั่วโลก